กลิ่น สระทองเนียม
ครั้งที่ผ่านมาผู้เขียนได้สะท้อนถึงปัญหาความตกต่ำคุณภาพการศึกษาของเด็ก
ไทย.น่าจะโทษใครดี และท้ายที่สุดได้สรุปไว้ว่า
ปัญหาที่เกิดขึ้นต้องเป็นความรับผิดชอบของทุกภาคส่วนเมื่อเป็นเช่นนี้จึง
เป็นหน้าที่ที่จะต้องมาร่วมกันแก้ไขเพื่อทำให้คุณภาพเด็กไทยดีขึ้น
แต่ด้วยงานนี้เป็นงานที่มีความสำคัญต่อประเทศชาติ เป็นงานใหญ่เห็นผลช้า
การที่จะไปแยกกันคิด แยกกันทำ หรือทำแบบเรื่อย ๆ มาเรียงคงไม่ได้
เพราะแค่นี้ก็แทบจะไม่มีคลองให้ถอยหลังลงไปอีกแล้ว
ซึ่งการที่จะแก้ปัญหาคุณภาพเด็กให้ได้ผลนั้น
จึงน่าจะต้องกำหนดเป็นวาระแห่งชาติ
ร่วมทำกันอย่างจริงจังปัญหาที่ว่านี้ก็น่าจะมีทางออกอยู่มากมายซึ่งทางออก
ที่ว่านี้คงจะขอนำมายกตัวอย่างให้เห็นเพียงบางส่วน ดังนี้
ระดับชาติ น่าจะต้องแก้กฎหมายการศึกษากันอีกครั้ง
เพื่อปรับส่วนที่เป็นได้แค่หลักการสวยหรูแต่ปฏิบัติไม่ได้ผลออกไปแล้วนำสิ่ง
ที่จะส่งผลถึงตัวเด็กจริง ๆ เข้ามาแทน
โดยเฉพาะการนำกรมวิชาการกลับคืนมาเพราะถือเป็นหัวใจด้านวิชาการของชาติ
ที่จะทำหน้าที่วิเคราะห์ วิจัยสาระเนื้อหา
วิธีการพัฒนาอย่างเป็นระบบตลอดแนว
ดีกว่าปล่อยให้หน่วยงานอื่นที่มีแต่หลักการแต่ไม่รู้ลึกรู้จริงถึงบริบทการ
จัดการศึกษามาตรวจสอบแล้วโยนปัญหากลับมาให้เช่นเดิม
รวมถึงออกกฎหมายบังคับให้ทุกภาคส่วนที่มีหน้าที่จัดการศึกษาทั้งภาครัฐและ
เอกชนต้องคำนึงถึงคุณภาพผู้เรียนตามกฎหมายและแผนการศึกษาชาติที่กำหนดไว้
เพื่อมิให้จัดการศึกษาไปคนละทิศละทางหรือเปลี่ยนแปลงตามรัฐบาล ส่วนต่อมา
คือ
งบประมาณที่ใช้พัฒนาคุณภาพเด็กต้องจัดให้พอเพียงเพราะปัจจุบันงบประมาณส่วน
ใหญ่ถูกนำไปเป็นค่าจ้าง เงินเดือน มากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์
เงินที่ใช้พัฒนาคุณภาพถึงตัวเด็กจริง ๆ มีน้อยมาก
โดยเฉพาะโรงเรียนขนาดเล็กที่ได้รับงบประมาณน้อยตามจำนวนเด็กและโอกาสที่จะ
ได้รับการสนับสนุนจากภายนอกก็เป็นไปได้ยากการจัดสรรงบประมาณจึงน่าจะจัดให้
เพียงพอและถูกจุดโดยเน้นไปที่โรงเรียนขาดแคลนเป็นหลักไม่ใช่หว่านแหจ่ายเป็น
ค่ารายหัวเหมือนกันทุกโรงเรียน
มิฉะนั้นแล้วคุณภาพเด็กจากโรงเรียนขนาดเล็กก็คงแก้ไขได้ยาก
ระดับกระทรวงศึกษาธิการ สิ่งแรกเลยที่ต้องแก้ไข คือ
ไม่ควรเปลี่ยนรัฐมนตรีกันบ่อย เพราะจะทำให้เกิดนโยบายใหม่ เลิกนโยบายเก่า
ขาดความต่อเนื่องรวมถึงสร้างความสับสนให้กับภาคปฏิบัติอีกด้วย เรื่องต่อมา
คือ
หลักสูตรการศึกษาที่นอกจากจะต้องลดจำนวนสาระการเรียนรู้ที่ไม่จำเป็นแต่ละ
ระดับลงแล้วยังต้องสอดคล้องกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กในแต่ละกลุ่ม
เพราะหากหลักสูตรมีเป้าหมายเดียวกันคือหวังให้เด็กไปสู่ความเป็นเลิศทั้งหมด
ปัญหาก็อย่างที่เห็นกันอยู่ คือกลุ่มหนึ่งยังอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้
แต่ต้องเรียนทุกกลุ่มสาระแต่เมื่อพื้นฐานยังไม่ได้การเรียนรู้สาระอื่น ๆ
ก็ด้อยไปด้วยเมื่อเรียนไม่ทันเพื่อน เรียนไม่รู้เรื่อง
ความเครียดก็เกิดขึ้น
หากหลักสูตรสามารถตอบสนองเป้าหมายแต่ละกลุ่มได้ก็จะทำให้การจัดการศึกษา
สะดวกเกิดผลได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
วิธีการที่ว่านี้หลักสูตรจึงน่าจะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ
กลุ่มเด็กที่มีศักยภาพสูงพร้อมที่จะต่อยอดไปสู่ความเป็นเลิศในสาขาเฉพาะทาง
กลุ่มเด็กที่ต้องพัฒนาคุณภาพชีวิตให้พ้นวงจร โง่ จน เจ็บ
สามารถดำรงชีวิตอยู่ในท้องถิ่นได้อย่างมีความสุข และกลุ่มสุดท้าย คือ
เด็กในพื้นที่ห่างไกลหรือพื้นที่พิเศษ ที่ยังต้องพัฒนาด้านการอ่านออก
เขียนได้ คิดเลขเป็นการสร้างสุขนิสัยที่ดีต่อการดำเนินชีวิต
และควรเปลี่ยนระบบการวัดผลจากตกซ่อมได้มาเป็นสอบได้สอบตกเช่นเดิมเพื่อจะทำ
ให้ฐานความรู้เด็กแน่นขึ้นและเด็กเกิดความกระตือรือร้นกับการเรียนรู้มาก
ขึ้น ส่วนต่อมาคือ
เป้าหมายคุณภาพการศึกษาของชาติจะต้องมีความชัดเจนและทุกฝ่ายต้องปฏิบัติตาม
เพื่อไม่ให้เกิดการบิดเบี้ยวกลางทางตามกระแสความนิยมอย่างที่เป็นอยู่
เพราะแม้กฎหมายจะกำหนดไว้ว่า ต้องการให้เด็กเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ "ดี เก่ง
มีความสุข" แต่ทำไปทำมา ทำท่าจะใช้ผลการสอบ O-NET
เป็นเป้าหมายคุณภาพเด็กไทยไปแล้ว
ทั้งที่ไม่ได้สอบทุกชั้นทุกกลุ่มสาระและจำนวนข้อสอบแต่ละวิชาก็มีไม่กี่ข้อ
ที่สำคัญข้อสอบที่ว่านี้ก็ไม่สามารถวัดผลพัฒนาการทางด้านอื่น ๆ ได้
ยิ่งให้นำผลไปเกี่ยวข้องกับการประเมินวิทยฐานะของครู การประเมินของ สมศ.
ด้วยแล้วทำให้โรงเรียนหลายแห่งเกิดการสอนข้อสอบ O-NET เกิดขึ้น
อีกปัญหาหนึ่ง ก็คือ
เจตคติการเรียนรู้ของเด็กและผู้ปกครองที่มุ่งหวังแค่การเข้ามหาวิทยาลัยจึง
ใส่ใจอยู่แค่เนื้อหาวิชาการโดยไม่สนใจคุณภาพด้านอื่น
ดังนั้นการรับนักศึกษาของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ
ควรนำคุณภาพด้านอื่นมาเป็นเกณฑ์ตัดสินด้วย
ระดับหน่วยเหนือ
คงจะต้องปรับกระบวนการทำงานให้สอดคล้องกับกฎหมายโดยทำหน้าที่กำหนดนโยบาย
ติดตาม กำกับและประเมินผล มากกว่าจะมาเป็นผู้ปฏิบัติเสียเอง
เพราะการที่ไปคิดวิธีการแก้ปัญหาหรือพัฒนาด้วยการจัดโครงการ กิจกรรม
ส่งไปให้แต่ละพื้นที่ที่มีบริบทต่างกันต้องทำเหมือนกันทั้งหมดนั้น
คงได้ผลน้อยแถมยังไปเพิ่มภาระให้กับครู
ส่วนนี้จึงน่าจะส่งเงินไปให้โรงเรียนเป็นผู้คิดดำเนินการเองจะได้ผลมากกว่า
สิ่งที่ต้องแก้ไขต่อมาคือ ต้องจัดครูให้พอสอนครบชั้นกับโรงเรียนขนาดเล็ก
และให้พอสอนทุกวิชากับโรงเรียนขนาดใหญ่เพราะหากปล่อยให้ครูขาดแคลนแถมมีงาน
อื่นให้ทำอีกมากมายอยู่เช่นนี้คงจะเรียกร้องหาคุณภาพได้ยาก
ส่วนเรื่องคุณภาพครูก็น่าจะมีวิธีการที่ดีกว่าการจัดอบรมหรือให้ทำข้อสอบ
เพราะการที่ครูขาดคุณภาพนั้นคงไม่ใช่อยู่แค่ความรู้อย่างเดียว
ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากการเหนื่อยล้ากับงานอื่น ๆ
หรือมีปัญหาสุขภาพอีกส่วนหนึ่งอาจได้คนที่ไม่มีใจรักอาชีพครูมาเป็นครู
ทำให้ขาดอุดมการณ์ในการทำงานวิธีแก้ปัญหาที่น่าจะได้ผลก็คือการสร้างขวัญ
กำลังใจทั้งความก้าวหน้าในวิชาชีพและมีรายได้ที่เหมาะสมกับภาระงานที่สอน
เกินเวลา สอนซ่อมเสริม
หรือสอนอยู่โรงเรียนที่ครูขาดแคลนหรือในพื้นที่พิเศษต่าง ๆ
รวมถึงการหาคนเก่งในพื้นที่มาเรียนครู แล้วส่งกลับไปสอนในท้องถิ่นของตนเอง
อย่างเช่นโครงการเพชรในตม หรือโครงการคุรุทายาท ที่เคยทำได้ผลมาในอดีต
ส่วนระดับภาคปฏิบัติคือ ครูก็คงต้องปฏิรูปตนเองด้วยการปรับตัว ปรับใจ
ปรับความเชื่อมั่นเปิดใจกว้างยอมรับการพัฒนาให้เท่าทันกับวิทยาการและ
เทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อจะได้มีภูมิความรู้เพียงพอกับการเป็นผู้ให้
รวมถึงการปรับวิธีเรียนเปลี่ยนวิธีสอนให้เข้ากับยุคสมัย
เพราะวิธีการสอนแบบเดิม ๆ
โดยครูเป็นผู้บอกหรือเล่าเนื้อหาอย่างที่เคยใช้ได้ผลมาในอดีตนั้น
เมื่อถึงยุคที่เด็กมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปตามกระแสวัฒนธรรมและเทคโนโลยีสมัย
ใหม่นี้การที่จะทำให้เด็กเป็นคนดี คนเก่ง มีความสุข
ได้นั้นวิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้คงต้องหลากหลายและเหมาะสม
ที่สำคัญต้องเป็นครูมืออาชีพจริง ๆ ถึงจะทำให้งานหนักงานยากนี้เกิดผลได้
นอกจากนั้นหน่วยงานภาครัฐทั้งหลายก็คงต้องทำหน้าที่ในส่วนที่รับผิดชอบอยู่
ทั้งการแก้ปัญหาความยากจน ปัญหาทุพโภชนาการ ปัญหาอบายมุขต่าง ๆ
อย่างเต็มที่
ไม่ใช่โยนมาเป็นงานฝากให้โรงเรียนทำแทนแบบไร้งบประมาณอย่างทุกวันนี้ยิ่งไป
เพิ่มภาระงานรองให้มากกว่างานหลักยิ่งขึ้น
คุณภาพเด็กไทยที่ตกต่ำทั้งด้าน IQ, EQ, MQ, AQ
นี้ก็มาจากหลากหลายปัจจัยดังนั้นการแก้ไขและพัฒนาจึงต้องเกิดจากความร่วมมือ
ของทุกภาคส่วนที่ต้องทำกันอย่างจริงจังและต่อเนื่องเพราะคุณภาพบุคลากรเป็น
เรื่องสำคัญต่อประเทศชาติ
ทุกฝ่ายจึงต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกมากกว่าจะมัวไปยุ่งอยู่กับเรื่อง
เศรษฐกิจ การเมือง จนลืมดูแลคุณภาพบุคลากรของชาติไป
เพราะหากเด็กซึ่งเป็นอนาคตของชาติมีคุณภาพต่ำการที่จะอยู่ในสังคมโลกที่มี
การแข่งขันสูงขึ้นเรื่อย ๆ เช่นนี้คงเป็นไปด้วยความลำบาก
ในที่สุดก็จะแข่งขันสู้กับใครไม่ได้กลายเป็นประเทศด้อยพัฒนาไปในที่สุด
เพราะทุกวันนี้ก็เห็นเค้าลางแล้วเพราะแม้แต่อาเซียนเราก็เริ่มล้าหลังไปแล้ว
มิใช่หรือ.
--เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 22 ม.ค. 2556 (กรอบบ่าย)--