ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตครู 
โดยคณะกรรมการการศึกษาวิจัยและประเมินของศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตครู มี 
ดร.พลสัณห์ โพธิ์ศรีทอง เป็นประธานคณะกรรมการ ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง 
"เหตุแห่งทุกข์ที่นำไปสู่ความสิ้นหวังในการปฏิบัติหน้าที่ของครูไทย" 
โดยมอบหมายให้ ดร.จันทร์แรม เรือนแป้น และคณะจากมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต 
เป็น ผู้ดำเนินการวิจัย เนื้อหาสาระเพื่อนำเสนอกระทรวงศึกษาธิการ 
ในช่วงสัปดาห์แห่งงานวันครู วันที่ 16 มกราคม 2556
          
การศึกษาวิจัยเรื่องเหตุแห่งทุกข์ที่นำไปสู่ความสิ้นหวังในการปฏิบัติ
หน้าที่ของครูไทยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจใช้วิธีการเชิงปริมาณและเชิง
คุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) 
สำรวจเหตุแห่งทุกข์ของครูไทยและระดับความรุนแรงของเหตุแห่งทุกข์ที่พบ (2) 
สำรวจระดับความสิ้นหวังต่อการปฏิบัติงานในหน้าที่ของครูไทย (3) 
หาความสัมพันธ์ของเหตุแห่งทุกข์แต่ละสาเหตุกับความสิ้นหวังในการปฏิบัติงาน
ในหน้าที่ของครู (4) 
เปรียบเทียบความแตกต่างของเหตุแห่งทุกข์ของครูไทยเมื่อจำแนกตามลักษณะส่วน
บุคคล ลักษณะงาน และปริมาณของการปฏิบัติหน้าที่ (5) 
เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างระดับความรู้สึกสิ้นหวังในการปฏิบัติงานใน
หน้าที่ของครูไทยเมื่อจำแนกตามลักษณะส่วนบุคคล 
ลักษณะงานและบริบทของการปฏิบัติงานและ (6) 
สังเคราะห์ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่อวิธีการขจัดเหตุแห่งทุกข์ที่นำไปสู่
ความสิ้นหวังในการปฏิบัติหน้าที่ของครูไทย
          
ผลการวิจัยครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า 
สถานการณ์ปัจจุบันในการปฏิบัติหน้าที่ของครูไทยโดยรวมมิได้อยู่ในสภาพที่เลว
ร้ายเท่าใดนัก 
ดังจะเห็นได้จากระดับความรุนแรงของเหตุแห่งทุกข์ในภาพรวมที่ปรากฏอยู่ใน
ระดับน้อย 
และระดับความสิ้นหวังในการปฏิบัติหน้าที่ของครูไทยในภาพรวมที่ปรากฏอยู่ใน
ระดับน้อยเช่นกัน และยังพบว่าเหตุแห่งทุกข์ทั้ง 4 ด้าน คือ (1) 
ด้านการทำงาน (2) ด้านชีวิตส่วนตัวและครอบครัว (3) ด้านสุขภาพ และ (4) 
ด้านศาสนา และความเชื่อส่วนบุคคล 
มีความสัมพันธ์ทางบวกกับความสิ้นหวังในการปฏิบัติหน้าที่ของครูไทยอย่างมี
นัยสำคัญทางสถิติ
          
ข้อค้นพบที่ได้จากการวิเคราะห์เชิงปริมาณดังกล่าวนี้ 
สอดคล้องกับข้อมูลเชิงคุณภาพที่ได้จากการสัมภาษณ์เชิงลึกที่พบว่ามีครูจำนวน
มากที่ระบุว่าตนเองยังไม่สิ้นหวังกับการปฏิบัติหน้าที่ครู 
โดยอธิบายความรู้สึกของตนเองอันเป็นผลมาจากสภาพปัญหาที่ต้องเผชิญว่าเป็น
ความรู้สึก "ท้อแท้" มากกว่า "ความสิ้นหวัง" 
และยังอยู่ในวิสัยที่ครูจะสามารถคลี่คลายความรู้สึกท้อแท้ที่เกิดขึ้นด้วยตน
เอง เช่น การหาทางแก้ไขปัญหาที่นำมาซึ่งความรู้สึกท้อแท้ 
การระบายความรู้สึกของตนเองกับสมาชิกในครอบครัว การมองโลกในแง่บวก 
การใช้หลักธรรมทางศาสนาเป็นเครื่อง ยึดเหนี่ยวจิตใจ เป็นต้น
          
แต่การสัมภาษณ์เชิงลึกยังชี้ให้เห็นอีกด้วยว่า 
ยังมีครูที่ระบุว่าตนมีความรู้สึกสิ้นหวังกับการปฏิบัติหน้าที่ครูรวมอยู่
ด้วย 
โดยพบว่าปัญหาด้านการงานเกือบทุกปัญหาสามารถทำให้ครูมีความรู้สึกสิ้นหวังใน
การปฏิบัติหน้าที่ครูได้ทั้งสิ้น
          ข้อค้นพบในส่วนนี้ 
มีความสอดคล้องกับผลการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ 
ที่พบว่าเหตุแห่งทุกข์ด้านการงานสามารถอธิบายระดับความสิ้นหวังของครูไทยได้
มากกว่าด้านอื่น 
และเมื่อนำค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานระดับความรุนแรงของเหตุแห่ง
ทุกข์ด้านการงานเป็นรายข้อมาพิจารณารวมด้วย 
จะพบว่าปัญหาด้านการงานนี้มีค่าเฉลี่ยระดับความรุนแรงมากที่สุด 3 
ลำดับแรกในกลุ่ม ยังคงเป็น
          (1) เรื่องเงินเดือนและค่าตอบแทน 
(2) เรื่องสวัสดิการ และ (3) เรื่องของงานสนับสนุน 
ที่ยังไม่เป็นที่น่าพอใจสำหรับครูส่วนใหญ่ 
ข้อค้นพบนี้ชี้ให้เห็นว่าปัญหาสำคัญของครูที่มีการกล่าวถึงกันมาตลอด 
โดยเฉพาะปัญหารายได้ที่ไม่เพียงพอกับรายจ่าย 
ที่ส่งผลโยงใยไปสู่ปัญหาหนี้สินครู 
ปัญหาคุณภาพชีวิตและขวัญกำลังใจของผู้ที่เป็นครู 
ปัญหาผลสัมฤทธิ์ในการเรียนการสอนที่ต่ำลง ปัญหาวิกฤตศรัทธาในวิชาชีพครู 
(พิมพิดา โยธาสมุทร, 2553 ; สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ, 2543) 
และปัญหาภาระงานที่ครูส่วนใหญ่ต้องใช้เวลาร้อยละ 10-20 
ของเวลาสอนตามปกติไปกับงานธุรการ (อมรวิชช์ นาครทรรพ,2553) 
ยังคงเป็นปัญหาสำหรับครูส่วนใหญ่และยังคงมิได้รับการแก้ไขให้หมดสิ้นไปจาก
สภาพการปฏิบัติงานของครูในปัจจุบัน
          การวิจัยยังพบว่า 
ความแตกต่างในตัวแปรที่เกี่ยวข้องกับบริบทของการทำงาน 
(การปฏิบัติงานของครู) ลักษณะส่วนบุคคลและลักษณะงาน 
เกือบทุกตัวแปรสามารถส่งผลให้เกิดความแตกต่างในระดับความรุนแรงของเหตุแห่ง
ทุกข์ และระดับความสิ้นหวังในการปฏิบัติงานในหน้าที่ของครูได้ทั้งสิ้น
         
 เช่น (1) เมื่อนำตัวแปรภูมิภาคในการปฏิบัติงานมาพิจารณาร่วมด้วย 
จะพบว่ากลุ่มครูที่มีระดับความรุนแรงของเหตุแห่งทุกข์มากกว่ากลุ่มอื่น
ได้แก่ "ครูที่ปฏิบัติงานในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้" 
เป็นผลมาจากสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ 
ที่ส่งผลถึงขวัญกำลังใจและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของครูอย่างต่อ
เนื่อง
          (2) เมื่อนำตัวแปรอายุมาพิจารณารวมด้วย 
จะพบว่ากลุ่มที่มีระดับความรุนแรงของเหตุแห่งทุกข์มากกว่ากลุ่มอื่นคือกลุ่ม
ครูที่มีอายุระหว่าง 25-35 ปี เป็นช่วงวัยที่มีภาระทางการเงินสูง 
เนื่องจากอยู่ระหว่างการสร้างครอบครัว และฐานะทางเศรษฐกิจ ทางสังคม
         
 (3) เมื่อนำตัวแปรประสบการณ์การทำงานมาพิจารณารวมด้วย 
จะพบว่ากลุ่มที่มีระดับความรุนแรงของเหตุแห่งทุกข์มากกว่ากลุ่มอื่น คือ 
กลุ่มครูที่มีประสบการณ์การทำงานมาเป็นเวลา 6-10 ปี 
อันเป็นช่วงเวลาที่มีประสบการณ์ตรงกับการทำงานในหน้าที่ครูมาแล้วในระดับ
หนึ่ง ในขณะที่ยัง "มีไฟ" 
หรือความกระตือรือร้นที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลง สิ่งที่ไม่ปรารถนาต่างๆ
         
 (4) เมื่อนำตัวแปรระดับตำแหน่งมาพิจารณาร่วมด้วย 
จะพบว่ากลุ่มครูที่มีความรุนแรงของเหตุแห่งทุกข์มากกว่ากลุ่มอื่น คือ 
กลุ่มครูที่มีตำแหน่งครูพิเศษ หรือครูอัตราจ้าง 
เป็นกลุ่มที่มีความมั่นคงในอาชีพน้อย และมักได้รับเงินเดือนค่าตอบแทน 
รวมทั้งสิทธิประโยชน์อย่างอื่นต่ำกว่าครูในตำแหน่งอื่น
          (5) 
เมื่อนำตัวแปรรายได้ของตนเองต่อเดือนมาพิจารณาร่วมด้วย 
จะพบว่ากลุ่มที่มีระดับความรุนแรงของเหตุแห่งทุกข์มากกว่ากลุ่มอื่น คือ 
กลุ่มครูที่มีรายได้น้อยกว่า 10,000 บาท และ 10,001-20,000 บาท 
อันเป็นอัตราที่ยากต่อการดำรงชีพอย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดีในสังคมปัจจุบัน
         
 (6) เมื่อนำตัวแปรจำนวนหนี้สินมาพิจารณาร่วมด้วย 
จะพบว่ากลุ่มที่มีระดับความรุนแรงของเหตุแห่งทุกข์มากกว่ากลุ่มอื่น คือ 
กลุ่มครูที่มีหนี้สิน 3,000,001 บาทขึ้นไป 
อันเป็นผลจากความวิตกกังวลในภาระหนี้สินที่มีเป็นจำนวนมาก 
เท่ากับมีระดับความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาในการชำระหนี้มากกว่าผู้ที่มีจำนวน
หนี้สินต่ำกว่า
          (7) 
เมื่อนำตัวแปรหน่วยงานที่สังกัดมาพิจารณาร่วมด้วย 
จะพบว่ากลุ่มที่มีระดับความรุนแรงของเหตุแห่งทุกข์มากกว่ากลุ่มอื่น คือ 
กลุ่มครูที่ปฏิบัติงานในโรงเรียนเอกชน เป็นกลุ่มที่มีความมั่นคงในอาชีพน้อย
 และมักได้รับเงินเดือนค่าตอบแทน 
รวมทั้งสิทธิประโยชน์อย่างอื่นต่ำกว่าครูในสังกัดอื่น เป็นต้น
         
 สำหรับสภาพปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาที่เป็นเหตุแห่งทุกข์ด้านการงาน 
เป็นด้านที่มีอิทธิพลสูงสุดในการอธิบายระดับความสิ้นหวังในการปฏิบัติ
หน้าที่ครูตามที่พบในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่
          (1) 
ปัญหาจากภาระงานโดยเฉพาะภาระงานอย่างอื่นนอกเหนือจากการสอนที่มากเกินไปจนทำ
ให้ครูไม่สามารถปฏิบัติงานสอนได้อย่างเต็มที่และมีคุณภาพ 
โดยแนวทางในการแก้ไขปัญหาจะได้แก่ 
การลดภาระงานอื่นนอกเหนือจากการสอนให้น้อยลง 
และการจัดบุคลากรสายสนับสนุนเพื่อรับผิดชอบงานเหล่านี้โดยตรง 
เพื่อให้ครูสามารถปฏิบัติหน้าที่การจัดการเรียนการสอนและการพัฒนาผู้เรียน
ได้อย่างเต็มที่
          (2) ปัญหาจากตัวผู้เรียนและผู้ปกครอง 
โดยปัญหาจากตัวผู้เรียนจะมีทั้งปัญหาเชิงปริมาณจากจำนวนนักเรียนในชั้นที่
ไม่เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด 
และปัญหาเชิงคุณภาพที่เป็นผลจากกระบวนการเรียนการสอนที่ไม่เหมาะสม 
ไม่มีคุณภาพรวมทั้งลักษณะความประพฤติของเด็กแต่ละคน โดยแนวทางแก้ไข 
ครูต้องพัฒนาพฤติกรรมการสอนของตัวครูเอง 
และรวมทั้งปรับแก้พฤติกรรมของเด็กเป็นรายบุคคล 
ก็จะทำความยุ่งยากและต้องใช้เวลากับตัวครูพอสมควร 
ส่วนปัญหาจากผู้ปกครองจะมีตั้งแต่ความคาดหวังที่มีต่อการจัดการเรียนการสอน
ของครู/โรงเรียน ความไม่เข้าใจกันระหว่างครูกับผู้ปกครอง 
การมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในกิจกรรมของทางโรงเรียนที่ลดน้อยลง 
จนขาดโอกาสในการสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจระหว่างกัน 
การแก้ไขต้องสร้างความร่วมมืออย่าง ใกล้ชิดระหว่างครูกับผู้ปกครอง
         
 (3) ปัญหาจากการบริหารสถานศึกษาและความสัมพันธ์กับผู้บังคับบัญชา 
ส่งผลกระทบต่อขวัญกำลังใจและการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ใต้บังคับบัญชา 
แนวทางแก้ปัญหา อาจได้แก่ 
การปรับปรุงระบบสรรหาผู้บริหารโดยเน้นในเรื่องคุณธรรม จริยธรรม ภาวะผู้นำ 
และความสามารถในการบริหารจัดการสถานศึกษายุคใหม่
          (4) 
ปัญหาจากระบบเงินเดือน และค่าตอบแทนอื่นๆ 
ที่ไม่เพียงพอต่อค่าครองชีพในสังคมปัจจุบันและความไม่เท่าเทียมกันระหว่าง
ครูแต่ละสังกัด แนวทางแก้ปัญหา ต้องแก้ปัญหาเป็นภาพรวมของประเทศ 
และหาทางชดเชยโดยวิธีการต่างๆ
          (5) ปัญหาจากระบบสวัสดิการที่ยังไม่น่าพอใจและไม่เท่าเทียมกันระหว่างครูแต่ละสังกัด ต้องร่วมกันพิจารณาแก้ปัญหาเป็นภาพรวม
         
 (6) 
ปัญหาเกี่ยวกับเส้นทางความก้าวหน้าในวิชาชีพครูที่ผูกโยงกับการทำผลงานทาง
วิชาการเพื่อเลื่อนระดับเงินเดือนหรือระดับวิทยฐานะที่ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ
ทั้งในตัวระบบ วิธีการ เกณฑ์ และผลลัพธ์ แนวทางแก้ปัญหา ได้แก่ 
การปรับปรุงกฎ ระเบียบ และการปรับปรุงวิธีวัด 
วิธีประเมินผลงานให้เหมาะสมกับครู แต่ละกลุ่ม
          และ (7) 
ปัญหาเกี่ยวกับความมั่นคงในอาชีพ 
โดยจะพบปัญหานี้เฉพาะกลุ่มครูที่ปฏิบัติงานในโรงเรียนเอกชน 
รวมทั้งกลุ่มครูพิเศษ และกลุ่มครูอัตราจ้างในโรงเรียนสังกัดหน่วยงานภาครัฐ 
แนวทางแก้ปัญหา การเปิดโอกาสให้ครูกลุ่มเหล่านี้ได้รับการบรรจุ 
หรือมีหลักประกันความมั่นคงในอาชีพมากกว่าที่ เป็นอยู่
          --มติชน ฉบับวันที่ 15 ม.ค. 2556 (กรอบบ่าย)--
 

