จาก
การจัดอันดับประเทศที่มีระบบการศึกษาที่ดีที่สุดในโลก
ของบริษัทจัดอันดับการศึกษา เพียร์สัน ของสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 28
พฤศจิกายน 2555 พบว่าประเทศไทยอยู่อันดับที่ 37 ของโลก
ถ้าเราอ่านเพียงแค่นี้ก็คงจะไม่รู้สึกตกใจ เพราะในโลกนี้มีอยู่เป็นร้อยๆ
ประเทศ แต่ถ้าเราลองตระหนักลงไปอีกว่า
แล้วประเทศที่เขาจัดระบบการศึกษาที่มีผลสัมฤทธิ์ได้ดีกว่า มีประเทศอะไรบ้าง
เราอาจจะเริ่มรู้สึกตกใจเพราะประเทศเพื่อนบ้านข้างเคียงเราล้วนมีผลสัมฤทธิ์
ทางการศึกษาสูงกว่าเรา
และถ้าเราลองศึกษาให้ลึกลงไปอีกเราต้องวิตกกังวลไปมากกว่าที่จะอยู่เฉยๆ
ต่อไปได้ เรามาทบทวนผลการจัดอันดับของบริษัท เพียร์สันดูอีกครั้ง
อันดับ
ที่ 1 ประเทศฟินแลนด์ ที่ 2 เกาหลีใต้ ที่ 3 ฮ่องกง ที่ 4 ญี่ปุ่น ที่ 5
สิงคโปร์ ที่ 6 อังกฤษ ที่ 7 เนเธอร์แลนด์ ที่ 8 นิวซีแลนด์ ที่ 9
สวิตเซอร์แลนด์ ที่ 10 แคนาดา ...... ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 37
อันดับ
ที่ 2-5 อยู่ในทวีปเอเชีย และบางประเทศเคยยากจนกว่าประเทศไทยมาก่อน
แต่เดี๋ยวนี้เราตามเขาไม่ทันแล้ว และเราต้องตกใจมากยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อพบว่า
หลายประเทศที่มีผลการศึกษาดีกว่าประเทศไทยของเรานั้น
ลงทุนงบประมาณทางการศึกษาต่ำกว่าประเทศไทย เมื่อเทียบกับรายการงบประมาณ
จีดีพี ของประเทศ หากระบบการศึกษาของไทยเรามีเครื่องมือหมอ (ทางการศึกษา)
ที่ดี มีประสิทธิภาพสูง เอามาเอกซเรย์ดู ว่ามีความผิดปกติตรงไหน
มีอะไรเกิดขึ้นในระบบการศึกษาไทย เราอาจพบสาเหตุของตัวปัญหาที่ถูกต้อง
แต่ที่ผ่านมาเราแก้ปัญหาโดยการทุ่มงบประมาณลงไป ลงไปลงไปๆๆๆ
แต่อาการไม่ดีขึ้นมีแต่ทรงกับทรุด
ท่านผู้อ่านที่เคารพ
คนไทยส่วนมาก ส่วนใหญ่เฝ้าดูการศึกษาไทยด้วยความวิตกกังวล
โดยเฉพาะผู้ที่มีลูกหลานกำลังเรียนอยู่ในระบบการศึกษาไทย
มันตกต่ำลงไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนเรือไททานิก
ที่กำลังจมน้ำลึกลงไปเรื่อยๆ
หรือเสมือนอาการคนป่วยหนักที่หมอให้ยาอะไรไปก็ไม่มีอาการดีขึ้น
มีแต่อาการทรุดหนักลงไปเรื่อยๆ คนที่เป็นครู คนที่อยู่ในวงการศึกษา
ก็เปรียบเสมือนลูกเรือก้มหน้าก้มตาซ่อมเรือ อุดรูรั่ว ทำงานหามรุ่งหามค่ำ
แต่ก็ยังไม่พบว่าอาการทรุดหนักทางคุณภาพการศึกษาจะดีขึ้น
กัปตันเรือเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก รัฐมนตรีทางการศึกษาเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก
บางคนไม่มีความรู้ ไม่มีประสบการณ์ทางการศึกษาเลย
มาบังคับหางเสือเรือให้แล่นตรง ดังนั้น นาวาทางการศึกษาไทยจึงตกอยู่ในวังวน
ไร้ทิศทาง ต่างคนต่างขยัน ต่างคนต่างออกแรง
แล้วจะหวังให้เรือการศึกษาไปถึงฝั่งได้อย่างไร
เพื่อนครูที่เคารพรัก
ถึงท่านจะขยันจนสุดแรงเกิดอย่างไร หากกัปตันเรือกำหนดเป้าหมาย
กำหนดทิศทางผิด
หันหัวเรือเข้าต่อสู้กับกระแสคลื่นเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
อย่างไม่ถูกต้อง ก็เห็นทีว่าเราจะพากันตกต่ำลงไปเรื่อยๆๆๆ จนถึงก้นมหาสมุทร
กัปตันเรือจะแก้ปัญหาได้ จะต้องมองปัญหาออก ที่มองอนาคตออก
มองเห็นปัญหาผ่านเครื่องเอกซเรย์ ทางการศึกษาที่มีประสิทธิภาพ
คนที่มีสิทธิเลือกกัปตันให้กับประเทศก็คือ นายกรัฐมนตรี
มีอำนาจสูงสุดในการแก้ปัญหา
และท่านต้องตระหนักรู้ว่าการศึกษาคือเครื่องมือที่พัฒนาประเทศที่แท้จริง
หากมีความประสงค์จะกู้วิกฤตทางการศึกษาให้ได้อย่างรวดเร็วจริงจังคือ
หากัปตันที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญทางการศึกษา มายกเครื่อง (overhaul)
เปลี่ยนแปลงระบบบางอย่างที่ล้าหลังออกไป นำระบบที่ทันสมัยแบบใหม่เข้ามา
ดูตัวอย่างประเทศที่เขาประสบผลสำเร็จมาเป็นต้นแบบ ก็จะแก้ไขได้
มีครูผู้หญิงชาวอินเดียคนหนึ่งบอกรัฐบาลของเขาว่า
"การปฏิรูปการศึกษาที่ถูกต้องอยู่ในห้องเรียน อยู่ในระหว่างครูกับนักเรียน"
ผมเป็นครูมาตลอดชีวิต เป็นครูสอนเด็กในระดับประถมศึกษา
มัธยมศึกษามาตั้งแต่ พ.ศ.2513 ถึง พ.ศ.2521 เวลา 9 ปี
เป็นผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา 2522-2545 เป็นเวลา 24 ปี เป็น
ผอ.สามัญศึกษาจังหวัด พ.ศ.2546 อยู่ 1 ปี
เป็นผู้ตรวจราชการของกระทรวงศึกษาธิการอยู่ 2 ปี เป็น
ผอ.เขตพื้นที่การศึกษา รับผิดชอบการศึกษาขั้นพื้นฐาน คือระดับปฐมวัย
ถึงชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย พ.ศ.2527-2552 อยู่ 5 ปี ตลอดระยะเวลาเกือบ 40 ปี
ได้รู้ ได้เห็น ได้จัดการ ได้มีส่วนร่วมรับผิดชอบ ได้เห็นความสำเร็จ
ได้เห็นความล้มเหลวมาตลอด
จึงมีความเป็นห่วงต่อคุณภาพการศึกษาไทยเป็นอย่างยิ่ง
แม้วันนี้จะเกษียณอายุราชการออกไปแล้ว แต่ความเป็นครูได้ฝังอยู่ในสายเลือด
เป็นครูตลอดชีวิต "ครูแก่ไม่เคยตาย Old Soldier Never Die"
ผมจึงได้พบทั้งความสำเร็จและความล้มเหลวในระบบการศึกษาไทย
แต่ผมไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะเป็นผู้มีอำนาจเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาได้
เพราะเราเป็นเพียงไม้ปล้องกลาง ย่อมเป็นไปตามต้นไม้หรือปลายไม้จะลากไป
แม้ประสบการณ์บางครั้งจะบอกให้รู้ว่ากัปตันเหเรือออกนอกเส้นทางแล้วเดินผิด
ทางแล้วก็ไม่มีอำนาจพอที่จะไปพลิกกลับหางเสือดึงหัวเรือเข้าสู่เส้นทางได้
ร้องตะโกนก็ไม่ถึงหูกัปตัน
ผมรู้ว่าหัวเรือการศึกษาได้ออกนอกเส้นทางมาตั้งแต่ปี 2521
ปีที่ปรับปรุงหลักสูตรการศึกษา 2521 ประกาศใช้ปี 2522 และมาจมลึกไปถึงปี
ประกาศใช้ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ 2542 มีผลเมื่อปฏิรูปการศึกษา 2544
เป็นเวลาถึง 20 ปี
แม้นักการเมืองนักการศึกษาในกระทรวงศึกษาไทยได้พยายามอีกครั้งเมื่อมีการ
ปฏิรูปการศึกษารอบสอง เมื่อ พ.ศ.2551 จนมาถึงวันนี้ เรายังมืดมน
มองยังไม่เห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์
คุณภาพผลผลิต
คุณภาพคนไทยที่ผ่านเบ้าหลอมทางการศึกษา มีศักยภาพตกต่ำลงเรื่อยๆ
อัดฉีดงบประมาณเข้าไปมากเท่าใดก็ไม่มีผลสัมฤทธิ์เพิ่มขึ้น
ถ้าคุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่แข็งพอก็อย่าได้หวังว่าการศึกษาในระดับอุดม
ศึกษาจะดีเลิศ
สร้างต้นกล้าที่ไม่แข็งแรงแล้วจะหวังต้นไม้ใหญ่ให้ผลผลิตสูงได้อย่างไร
ท่านผู้อ่านทราบไหมครับว่า
เด็กไทยในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานอ่านหนังสือไม่เป็น ไม่มีนิสัยรักการอ่าน
อ่านหนังสือไม่จบเล่ม ไม่รู้ว่ามีหนังสือน่าอ่านดีๆ ในประเทศไทย
หรือหนังสือดีๆ น่าอ่านในโลก
แล้วเด็กไทยจะเก่งเข้าสู่ตลาดการแข่งขันได้อย่างไร
เด็กไทยจำนวนมากยังขาดนิสัยที่จะเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง
ขาดนิสัยเรียนรู้ตลอดชีวิด ขาดการแสวงหาความรู้ด้วยการอ่าน
ขาดการใฝ่รู้ใฝ่เรียน ดังนั้น เด็กไทยที่ไม่มีความอยาก
มีสมองที่ว่างเปล่าเดินเข้าไปในห้องสมุด
เมื่อเดินกลับออกมาสมองของเขาจึงไม่ได้บรรจุสิ่งใดเข้าไปในสมองเลยเพราะเขา
ไม่ได้อ่านอะไรเลย ไม่ได้มีเป้าหมายในการเดินเข้าไปในห้องสมุด
ไม่ได้มีความอยากรู้อยากเห็น ไม่มีความหิวกระหายที่จะศึกษาค้นคว้า
จนเกิดเป็นนิสัยถาวร
นิสัยไม่อยากรู้อยากเรียนก็จะตามไปจนถึงระดับมหาวิทยาลัยไปจนถึงระดับอุดม
ศึกษา
ตอไม้ที่ตายแล้วถึงครูจะขยันรดน้ำอย่างไรตอนั้นก็จะไม่งอกเงย
เหมือนเด็กไทยที่เรียนภาษาอังกฤษ
เรียนจบจากชั้นเรียนกลับถึงบ้านก็ไม่ได้สนใจไปศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม
เราจึงสูญเสียเวลารดน้ำไป 6 ปี จบ ป.6 ไป 12 ปี จบ ม.6 ไป 16 ปี
จบปริญญาตรี แต่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้
เราจึงสูญเสียเวลารดน้ำตอไม้ให้งอกเงยนะ
เด็กไทยเขียนหนังสือไม่
เป็น เริ่มต้นจากเขียนหนังสือไม่ถูก อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้
โดยปกติเด็กจะอ่านออกเขียนได้เมื่อเรียนอยู่ระดับชั้น ป.2 ถ้าหลุดไปจาก ป.2
แล้วยังอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ถือว่าเด็กเรียนช้า หรือเด็กผิดปกติ
ซึ่งโดยเฉลี่ยจะพบเด็กผิดปกติอยู่ประมาณ 5-10 เปอร์เซ็นต์
ถ้ามากกว่านี้ถือว่ามีความผิดพลาดในการจัดการศึกษา
เด็กทั่วโลกจะมีปัญหามีเด็กผิดปกติใกล้เคียงกัน คือร้อยละ 5-10 เปอร์เซ็นต์
ภาษาจิตวิทยาเรียกเด็กกลุ่มนี้ว่าเด็กพิการ 9 ประเภท
ซึ่งแบ่งเด็กพิการออกเป็นสองกลุ่ม คือ กลุ่มที่มองเห็นได้ด้วยสายตา เช่น
หูหนวก ตาบอด ร่างกายพิการ ฯ และกลุ่มที่สองคือ
กลุ่มที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยสายตา เช่น เด็กสมาธิสั้น เด็กแอลดี
เด็กบกพร่องทางสายตา ทางการพูด ทางการได้ยิน ฯ
ซึ่งต้องอาศัยจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาช่วยดู ช่วยตรวจสอบ
แม้แต่ครูเองก็ดูไม่ออกไม่ว่าเด็กที่เรียนช้าเหล่านี้คือเด็กพิการอีกประเภท
หนึ่ง ครูบางคนจึงไปพาลเอากับเด็กว่าเป็นเด็กดื้อ เด็กโง่ เด็กเกเร ฯ
การเขียนหนังสือเป็นทักษะที่ยากยิ่งกว่าทักษะการอ่าน คนที่เขียนหนังสือเป็น
เขียนหนังสือได้ดีต้องผ่านการฝึกฝน ต้องมีนิสัยรักการเขียน
และต้องเป็นผู้ที่อ่านมามาก
การที่จะสามารถเขียนหนังสือได้น่าอ่านได้อย่างมีเหตุมีผล ได้เนื้อหา
ได้ใจความตรงตามที่ตนเองต้องการ คนคนนั้นจะต้องเป็นนักอ่านมามาก
รู้วิธีการที่นำเสนอได้ดีมีระบบ เป็นขั้นเป็นขั้นเป็นตอน
เรียงลำดับได้เหมาสม ทักษะการเขียนต้องผ่านการฝึกฝน
เด็กไทยส่วนมากเขียนหนังสือไม่เป็น
ประเทศชาติจึงขาดนักประพันธ์ระดับโลกอย่างน่าเสียดาย
การสร้างนิสัย
ใฝ่รู้ใฝ่เรียนไม่ใช่สิ่งที่ครูสอนกันบอกกันในห้องเรียนได้
การสร้างนิสัยอย่างนี้ต้องอาศัยกิจกรรมที่เหมาะสม สร้างแรงจูงใจ
กระตุ้นให้เกิดความอยากความหิวกระหาย
ให้ผู้เรียนสามารถต่อยอดได้เองหลังจากออกจากห้องเรียนไป
ครูต้องจุดแบตเตอรี่ในหัวใจเด็กให้ได้ ให้เขาสามารถเรียนรู้ได้ทุกสถานที่
ได้ทุกเวลาโดยไม่ต้องรอครู ทุกหนแห่งคือห้องเรียน แล้วครูจะได้ไม่เหนื่อย
โดยธรรมชาติ เด็กไทยก็เหมือนเด็กทั่วโลกคือมีความอยากรู้ อยากเห็น
อยากทดลองอยากทำสิ่งใหม่ แต่พอผ่านระบบการศึกษาที่ผิดพลาด
พฤติกรรมความอยากมันหายไป มันเพราะอะไร เพราะรอครูจัดให้หรือ
เพราะรอพ่อแม่จัดให้หรือ เพราะรอนายจ้างสั่งหรือ
ให้คิดเองให้ทำเองทำไม่เป็นคิดไม่เป็นหรือ
ผู้เขียนเคยไปอบรมใน
สถาบันพระปกเกล้าซึ่งถือว่าเป็นสถานบันการศึกษาชั้นสูง สองครั้ง
สองหลักสูตร หลักสูตรแรกใช้เวลาอบรม 1 เดือน ใช้งบประมาณมาก
ใช้วิทยากรระดับสูงจำนวนมาก นั่งเรียนตลอดเวลาเช้าเย็น กลางคืน เรียนหนัก
ได้ฟังนักวิชาการ นักการเมือง นักธุรกิจ บรรยายตลอด เราได้ฟัง เราได้ดู
เราได้รู้ เราได้เห็น แต่เราไม่ได้อะไรมาเลย จบแล้วไม่นานก็ลืม
เพื่อนที่เรียนด้วยกันก็ไม่มีความสนิทสนม
ในสถาบันเดียวกันนี้
ผมได้เข้าไปเรียนอีกในหลักสูตร หนึ่ง ใช้เวลา 10 วัน
กับนักศึกษาอีกคนละกลุ่ม
วิทยากรไม่หลากหลายเท่าหลักสูตรแรกการจัดหลักสูตรก็ไม่แน่น
ไม่มากมายเท่าหลักสูตรแรก เราฟังบรรยายภาคเช้า
ภาคบ่ายทำกิจกรรมจากบทเรียนเมื่อเช้า
ตอนเย็นเข้ากลุ่มสร้างความคุ้นเคยแลกเปลี่ยนระหว่างผู้เรียน
แล้วนำเสนอหน้าห้องเรียน 5 วันแรกเรียนเช้า บ่ายกิจกรรม พบกลุ่ม ออกแบบงาน 5
วันหลัง นำบทเรียนที่เรียนจาก 5 วันแรกมานำเสนอ แสดงบทบาทสมมุติ
มีกิจกรรมให้ผู้เรียนร่วมวางแผน ตัดสินใจ ผู้สอนมีกิจกรรมร่วมกัน
นำเสนอบทบาทสมมุติ ให้เวลาแต่ละกลุ่มเตรียมงาน วางแผน นำเสนอ ตลอดระยะเวลา
10 วัน เป็นวันเวลาแห่งการเรียนที่มีความหมาย ทุกคนมีความสุข
ทุกคนกระตือรือร้น คนที่เฉื่อยชาแต่แรกกลายเป็นคนกระฉับกระเฉง
เรียนหลักสูตร 10 วัน จบมาแล้ว 10 ปี เรายังจำไม่ลืม จำกันได้
เรายังจำภาพประทับใจวันนั้นได้ ทุกคนที่เรียนด้วยกันมีความผูกพันกัน
เปรียบเทียบหลักสูตร 10 วัน กับหลักสูตร 1 เดือน ในสถาบันเดียวกับ
เราได้รับความรู้ประสบการณ์จากหลักสูตร 10 วันมากมายกว่า หลักสูตร 1 เดือน
แม้หลักสูตร 1 เดือน จะจัดให้เต็มที่ หาวิทยากรที่ดีระดับประเทศมาให้
แต่เราก็แทบจะไม่ได้อะไร เราจำกันแทบไม่ได้เลย
เราไม่มีความประทับใจในกันและกันเลย
มันคือความล้มเหลวที่แม้ผู้จัดจะประสงค์ดีต้องการให้ผู้เรียนได้รับสิ่งที่
ดีที่สุด แต่ในที่สุดผู้เรียนแทบไม่ได้รับอะไรเลย ผิดกับหลักสูตร 10 วัน
เราได้แทบทุกอย่าง ได้มากกว่าที่ผู้จัดอบรมจะให้เรา เราได้เพื่อนเราได้มิตร
เราได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ได้ความสนิทสนม ได้รับความไว้วางใจ
มองดูการศึกษาไทยทุกวันนี้มันเหมือนหลักสูตร 1 เดือน
ที่ผู้จัดอยากให้ผู้เรียนได้รับ แต่ผู้เรียนแทบไม่ได้อะไรเลย แต่หลักสูตร
10 วัน เราผู้เรียนรู้สึกว่าเวลามันสั้น แต่เราประทับใจไม่รู้ลืม
นี้คือสิ่งที่เหลืออยู่ของผู้เรียน
ทบทวนการจัดการศึกษาไทยได้แล้วหรือยังครับ
หรือเราจะรอให้เรือมันจมจนถึงก้นทะเลก่อน แล้วจึงค่อยไปกู้ภายหลัง
เรือไททานิก ใช้เวลาเป็น 100 ปี
การศึกษาไทยในยุคเทคโนโลยีต้องใช้เวลาขนาดนั้นเชียวหรือ อยากถามประเทศไทย
หน้า 6,มติชนรายวัน ฉบับวันพุธที่ 19 ธันวาคม 2555