ยังคงเป็นประเด็นถกเถียงกันจนถึงขณะนี้
กรณีนโยบายการเลื่อนเปิด-ปิดภาคเรียนให้สอดคล้องกับการก้าวสู่ประชาคมอา
เซียนในปี 2558
ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมา กระทรวงศึกษาธิการ
(ศธ.) รวมถึง สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)
ผู้กำกับดูแลการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ยังคงยืนยันไม่เลื่อนเปิดภาคเรียนตามที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย
(ทปอ.) มีมติให้มหาวิทยาลัยของรัฐ 24 แห่งที่เป็นสมาชิก
เลื่อนเปิดภาคเรียนที่ 1 ไปเป็นเดือนสิงหาคม ของทุกปี
แน่นอนว่าเมื่อ ทปอ. ไฟเขียวให้มหาวิทยาลัยต่างๆ เลื่อนเปิดเทอมแล้ว แต่
สพฐ. ยืนกรานว่าไม่เลื่อนเปิดเทอม
โดยให้เหตุผลว่ากำหนดการเปิดภาคเรียนของโรงเรียนในปัจจุบัน
สอดรับกับวิถีชีวิตของคนไทยอยู่แล้ว
เมื่อเป็นเช่นนี้ เลยทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา
ล่าสุดพบว่าการเปิดภาคเรียนของระดับอุดมศึกษาตามปฏิทินประชาคมอาเซียน
ส่งผลกับนิสิตนักศึกษาคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ ที่เรียนจบการศึกษาชั้นปี 4
ต้องไปฝึกสอนเป็นเวลา 1 ปีการศึกษาในโรงเรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
หรือ 2 ภาคเรียนเกิดปัญหาขึ้น
เพราะโรงเรียนยังคงเปิดเรียนในช่วงเดือนพฤษภาคม
ทำให้มหาวิทยาลัยที่เลื่อนเปิดภาคเรียนใหม่ และนิสิตนักศึกษาที่ต้องฝึกสอนในโรงเรียน อาจฝึกสอนได้ไม่ครบ 1 ปี
จากประเด็นปัญหาดังกล่าว
ที่ประชุมหารือเรื่องนโยบายการเปิด-ปิดภาคการศึกษาตามปฏิทินประชาคมอาเซียน
ในปี 2557 ที่มี นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการ ศธ., นายศิริชัย
กาญจนวาสี คณบดีคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ นายชินภัทร
ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เมื่อเร็วๆ นี้
ได้ข้อสรุปเบื้องต้นร่วมกันว่า สพฐ. จะยอมปรับ
และขยับกำหนดการเปิดภาคเรียนของโรงเรียนสังกัด สพฐ.
เพื่อให้นิสิตนักศึกษาสามารถฝึกสอนได้โดยไม่ต้องเสียเวลา
โดยมอบหมายให้คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ และ สพฐ. กลับไปหารือในรายละเอียดอีกครั้ง
ขณะที่นายชินภัทรชี้แจงว่า สพฐ. ได้หารือเรื่องดังกล่าวมาแล้วหลายครั้ง
โดยรวบรวมข้อมูลการเปิด-ปิดภาคเรียนของสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ พบว่า
แม้ในโรงเรียนการศึกษาขั้นพื้นฐานในกลุ่มประเทศอาเซียนก็ยังเปิด-ปิดภาค
เรียนหลากหลายอยู่
การที่มหาวิทยาลัยไทยเลื่อนเปิดภาคเรียนให้สอดคล้องกับปฏิทินอาเซียน
เป็นเรื่องที่มีเหตุผล
เพราะนิสิตนักศึกษาสามารถเลือกเรียนมหาวิทยาลัยไหนก็ได้ในอาเซียน
แต่ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานมีนักเรียนระดับประถมศึกษา และมัธยมศึกษา 10
ล้านคน ทำให้การเลื่อนเปิด-ปิดภาคเรียน ทำได้ลำบาก
นอกจากนี้
การที่ สพฐ. จะพิจารณาเลื่อน หรือไม่เลื่อนเปิด-ปิดภาคเรียนนั้น
เป็นเรื่องที่ต้องวิเคราะห์ผลกระทบที่เกิดขึ้นให้ชัดเจนก่อน
หากเลื่อนให้ตรงกับมหาวิทยาลัยอาจเกิดผลกระทบค่อนข้างมาก
เพราะต้องเลื่อนการเปิดภาคเรียนออกไปถึง 4 เดือน
โดยเปิดเรียนช่วงเดือนสิงหาคม
ดังนั้น เมื่อรัฐมนตรีว่าการ
ศธ. มีความเห็นว่าให้ปรับการเปิดภาคเรียนเล็กน้อย สพฐ. อาจปรับได้ 2
สัปดาห์ แต่ไม่เกิน 20 วัน โดยจะไปเปิดเรียนประมาณต้นเดือนมิถุนายนในปี
2557
นายชินภัทรแจกแจงต่อว่า
การปรับดังกล่าวจะอยู่ในวิสัยที่ไม่ต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตต่างๆ
ของผู้ปกครอง และนักเรียนมากนัก โดย สพฐ.
จะประชุมรับฟังความคิดเห็นจากฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ผู้ปกครอง
นักเรียน ครู เป็นต้น
เพราะการเลื่อนเปิดภาคเรียนต้องดูว่ามีผลกระทบต่อส่วนไหนบ้าง รวมทั้ง
ต้องดูตารางการทดสอบโอเน็ต การสอบ GAT และการสอบ PAT รวมทั้ง
แอดมิสชั่นส์ด้วย ซึ่งทุกอย่างจะต้องลงตัว
สพฐ. คาดการณ์ว่าช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนจะได้ข้อสรุปเบื้องต้นเรื่องดังกล่าว
ขณะที่ นายศิริชัย กาญจนวาสี มองว่า
การทำให้ระบบการเปิด-ปิดภาคเรียนทั้งระดับอุดมศึกษา
กับการศึกษาขั้นพื้นฐานสอดคล้องกัน จะทำให้ความขัดแย้งหายไป
ดีต่อเอกภาพของการจัดการศึกษา
และสอดคล้องกับนานาชาติในการร่วมจัดกิจกรรมในระดับนานาชาติ
ไม่ว่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนคณาจารย์ หรือนักศึกษา
ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาอย่างมาก
ทั้งนี้
ปัจจุบันหลักสูตรครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ทั่วประเทศในระดับปริญญาตรีเป็นหลัก
สูตร 5 ปี และคุรุสภากำหนดให้ต้องฝึกสอน 1 ปี หรือ 2 ภาคการศึกษา
หากขยับปฏิทินการศึกษาในปี 2557 ตามมติที่ ทปอ. จะทำให้ภาคเรียนที่ 2
ต้องเปิดเรียนกลางเดือนมกราคมไปจนถึงกลางเดือนพฤษภาคม
ช่วงนั้นนิสิตนักศึกษาจะต้องไปฝึกสอน แต่หากโรงเรียนสังกัด สพฐ.
ยังเปิดเรียนตามปกติในเดือนพฤษภาคม
จะทำให้นิสิตกลุ่มนี้สูญเสียโอกาสสอนนักเรียน
หากขยับเพื่อให้สอดรับในการส่งนิสิตไปฝึกสอนจะได้ประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย
สอดคล้องกับความเห็น นายสุรวาท ทองบุ คณบดีคณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏ
(มรภ.) มหาสารคาม
ในฐานะประธานสภาคณบดีคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย (ส.ค.ศ.ท.)
บอกว่า การเลื่อนเปิดเทอมออกไปอีก 20 วันของ สพฐ. ไม่น่าจะมีประโยชน์
โดยเฉพาะต่อการฝึกสอนของนักศึกษาคณะครุศาสตร์
จึงเห็นว่าควรทำให้สอดคล้องกันทั้งระบบน่าจะดีกว่า
ขณะนี้คณบดีคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ของแต่ละมหาวิทยาลัยอยู่ระหว่าง
วิเคราะห์ศึกษาข้อดีข้อเสียของการเลื่อนเปิดภาคเรียนในประเด็นต่างๆ
ซึ่งวันที่ 20 พฤศจิกายน จะสรุป
และความเห็นจากคณบดีคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ ทั้ง 75 แห่งอีกครั้ง
แต่ข้อเสนอของ ส.ค.ศ.ท. เบื้องต้นต้องการให้ สพฐ.
เลื่อนเปิดภาคเรียนให้สอดคล้องกับอาเซียน เพราะเท่าที่ดูผลดีมากกว่าผลเสีย
ที่สำคัญแก้ปัญหาเรื่องต่างๆ ได้ด้วย
ด้านความเห็น นายธวัชชัย
พิกุลแก้ว ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.)
กาญจนบุรี เขต 4 และนายกสมาคมผู้บริหารเขตพื้นที่การศึกษาแห่งประเทศไทย
(สพท.) มองว่า เรื่องนี้ สพฐ.
และมหาวิทยาลัยต้องไปหารือให้ได้ข้อสรุปชัดเจนว่าจะทำอย่างไร
ส่วนตัวเห็นด้วยที่จะให้เลื่อนเปิดเทอมทั้งระบบ
เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาความวุ่นวายในอนาคต ช่วงปีแรกๆ
อาจจะเกิดความสับสนกันบ้าง แต่ก็ค่อยๆ ปรับกันไปเรื่อยๆ
ในส่วนของเขตพื้นที่การศึกษาพร้อมปฏิบัติตามนโยบายอยู่แล้ว
อย่างไรก็ดี
นโยบายการเลื่อนเปิด-ปิดภาคเรียนนับว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องหารือกันให้
ได้ข้อสรุปโดยเร็วที่สุด เพื่อเตรียมความพร้อมในการพัฒนาระบบการศึกษาไทย
เพราะเหลือเวลาอีกแค่ 3 ปี ประตูสู่ประชาคมก็เริ่มเปิดอย่างเป็นทางการแล้ว
ดังนั้น ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาล, ศธ. และมหาวิทยาลัย
รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องใช้เหตุผลมาพูดกันอย่างจริงจัง
และหาข้อสรุปว่าจะทำเช่นไรเรื่องการเลื่อนเปิดเทอม
รวมทั้ง
ทำอย่างไรให้ระบบการศึกษาไทยมีคุณภาพ และยึดผลประโยชน์ของทุกคน
ที่สำคัญสามารถก้าวเดินไปพร้อมๆ กับประเทศสมาชิกอาเซียนได้อย่างภาคภูมิใจ
ตรงกันข้ามหากทุกหน่วยงานยังถกเถียงกันไม่ยอมจบ
และยังคงเดินคนละทิศคนละทางเหมือนทุกวันนี้
เพราะไม่เช่นนั้น ท้ายที่สุด "ไทย" อาจจะกลายเป็นประเทศเดียวในอาเซียน ที่ไม่มีความพร้อมด้านการศึกษาก็เป็นได้...
--มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 16 - 22 พ.ย. 2555--