ข่าวการศึกษา

บทความการศึกษา

ข่าวเรียกบรรจุครูผู้ช่วย

ข่าวสอบพนักงานราชการ

ข่าวสอบครูอัตราจ้าง

สอบธุรการ

สกศ.ปัดฝุ่นแผนชาติเล็งใช้พ.ค.56

          เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม น.ส.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ เลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) เปิดเผยในการเป็นประธานการประชุมวิชาการเรื่อง แผนการศึกษาแห่งชาติ ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 2 (พ.ศ.2555-2559) ว่า แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2555-2559 จำเป็นต้องปรับปรุงให้ทันสมัย ซึ่งเป็นแผนหลักที่ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึงรัฐบาลต้องปฏิบัติเพื่อนำ ไปสู่เป้าหมายร่วมกัน คาดว่าจะปรับปรุงเสร็จและประกาศใช้ในเดือนพฤษภาคม 2556 ขณะเดียวกันในเดือนมกราคม 2556 สกศ.จะจัดทำยุทธศาสตร์การจัดการศึกษาชาติ พ.ศ.2555-2558 โดยคำนึงถึงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 11 ยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศซึ่งรัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ รวมทั้งนโยบายของรัฐบาล ซึ่งเบื้องต้น สกศ.จะเสนอ 7 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์การจัดการศึกษาอย่างมีคุณภาพ การสร้างรายได้และขยายโอกาสทางการศึกษา การปฏิรูปครูให้เป็นวิชาชีพชั้นสูง การใช้งานวิจัยทางการศึกษา การจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาและอาชีวศึกษา การใช้เทคโนโลยีกับการศึกษา การเข้าสู่ประชาคมอาเซียน

          เลขาธิการ สกศ.กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ สกศ.จะจัดทำข้อมูลและสถิติทางการศึกษา ทั้งเรื่องสัดส่วนนักเรียนต่อครู การเข้าเรียนและจบของนักเรียนแต่ละช่วงชั้น จำนวนนักเรียนชายซึ่งลดน้อยลงในการเรียนสายสามัญ จะเข้าสู่การเรียนสายอาชีพหรือไม่ จำนวนประชากรที่เข้าเรียนสถาบันอุดมศึกษาที่ลดน้อยลง รวมทั้งการติดตามดูว่าประชากรที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป ยังสามารถอ่านออกเขียนได้อยู่หรือไม่ โดยเมื่อมีการเก็บรวบรวมข้อมูลต่างๆ เหล่านี้แล้ว จะได้จัดส่งให้องค์กรระหว่างประเทศที่จัดลำดับด้านการศึกษา การแข่งขันในระดับนานาชาติ ต่อไป ซึ่งหากมีการเก็บข้อมูลและจัดส่งถูกช่องทาง ก็อาจส่งผลให้อันดับของประเทศไทยจากการจัดอันดับของหน่วยงานต่างๆ ดีขึ้น


          "จะเดินสายรับฟังความคิดเห็นการจัดทำยุทธศาสตร์การจัดการศึกษาชาติในแต่ละ ภูมิภาค เพื่อประกาศใช้พร้อมๆ กันกับแผนการศึกษาชาติฉบับปรับปรุง" น.ส.ศศิธารากล่าว


          ด้านนายสมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การนำเสนอแผนการศึกษาชาติต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะต้องหาจุดเด่น เพื่อให้เห็นว่าการศึกษาไทยอยู่ในขั้นวิกฤตหรือโคม่าและจะต้องรีบทำ


          ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

แสดงความคิดเห็น